My Photos.
วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
Exam Midtrem/53
วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
Automotive...เจ๋งโคตร



วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
กีฬาชาวเกียร์
วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553
จงเชื่อในสิ่งที่เราอยู่
วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553
แค่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553
ประวัติของรถเต่า ( Volkswaken ) !!


ต้องย้อนหลังเมื่อประมาณปี 1930 ในยุคที่โลกของเราอยู่ในสภาวะวิกฤต คือช่วงสงครามโลกครั้ง
ที่
2 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำสงครามฝ่ายอักษะ
ได้สั่งให้ ดร.นอร์ท โฮป ร่วมกับวิศวกรชาวเยอรมันอีก
ท่าน
คือ ดร.เฟอร์ดินัน ปอร์เช่ ผู้ออกแบบรถ
ปอร์เช่ ให้ร่วมกันออกแบบรถเพื่อใช้เป็นยานพาหนะในการทำ
ศึกสงครามกลางทะเลทราย และรถคัน
นั้นก้อคือ รถโฟล์กสวาเก้น หรือเจ้าเต่าทองนั่นเอง และ ณ จุด
นี้เอง รถโฟล์กสวาเก้นจึงถือ
รถโฟล์กคันแรกถูกผลิตออกมาให้ประชาชนได้ใช้งานกันอย่างจริงจัง ด้วยคำสั่งของฮิตเลอร์ที่ว่า
ต้องเป็นรถของประชาชนตามชื่อของรถ เพราะคำว่า Volk ลเป็นไทยไในภาษาเยอรมัน แปล
ว่า ประชาชน ส่วนคำว่า Wagen นั้นแปลว่า รถยนต์ กำเนิดขึ้น ในปี 1938
วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553
ทุกอดีตมีเรื่องราวแล้วแต่ว่าเราจะเลือกลืมหรือจำ
จะลืม หรือจำไม่สำคัญหรอก ปล่อยใจให้สบายๆ จะดีกว่า
จำก็ได้ ลืมก็ได้ คิดถึงก็ได้ ไม่คิดถึงก็ได้ หากเราไม่ตั้งธงให้ตัวเองความกดดันก็จะค่อยๆหายไป
แล้วชีวิตก็จะค่อยๆก้าวเข้าสู่รูปรอยปกติ แต่ถ้าไปหมกหมุ่นว่าต้องลืม ต้องลบ
ต้อง...นั่น ต้อง...นี่ นอกจากจะไม่เคยลืมได้จริงๆ แล้ว
ยังทำให้เราไม่เคยก้าวไปไกลจากจุดๆเดิมเลย
วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553
กุหลาบเป็นได้มากกว่าดอกไม้...

@สีกุหลาบสื่อความหมาย
สีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปราถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ
สีชมพู สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์
สีขาว สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง
สีเหลือง สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ
สีขาวและแดง สื่อความหมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
สีส้มสื่อความหมายถึง ฉันรักเธอเหมือนเดิม
กุหลาบตูม สื่อความหมายถึง ความงามและความเยาว์วัย
@จำนวนกุหลาบสื่อความหมาย
1 ดอก รักแรกพบ
2 ดอก แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
3 ดอก ฉันรักเธอ
7 ดอกคุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
9 ดอก เราสองคนจะรักกันตลอดไป
10 ดอก คุณเป็นคนที่ดีเลิศ
11 ดอก คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
12 ดอกขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว
13 ดอก เพื่อนแท้เสมอ
15 ดอก ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
20 ดอก ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
21 ดอก ชีวิตินี้ฉันมอบเพื่อเธอ
36 ดอก ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
40 ดอกความรักของฉันเป็นรักแท้
99 ดอก ฉันรักเธอจนวันตาย
100 ดอก ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
101 ดอก ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น
108 ดอกคุณจะแต่งงานกับฉันไหม
999 ดอกฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย
@ความหมายอื่น
กุหลาบแดงเข้ม (สีเหมือนไวน์แดง) "เธอช่างมีเสน่ห์งามเหลือเกิน"
กุหลาบตูมสีแดง "ฉันเริ่มรักเธอแล้วจ้ะ"
กุหลาบบานสีแดง "ฉันรักเธอเข้าแล้ว"
กุหลาบสีแดงที่โรยแล้ว "ความรักของเรานั้นจบลงแล้ว"
กุหลาบตูมสีขาว "เธอช่างไร้เดียงสาน่าทนุถนอมเหลือเกิน ฉันรักเธอ"
กุหลาบสีขาวที่โรยแล้ว "เสน่ห์ของเธอมันเริ่มลดน้อยถอยลงแล้วนะจ๊ะ"
และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวที่น่าสนใจของของดอกกุหลาบ d(^____^)b
วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553
เรื่องราวอันยาวนานของกล้อง....แฉะ แฉะ !!


1913 : กล้องถ่ายรูปชนิด 35mm ถูกคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1913 หลังจากนั้นนานถึง 62 ปี ต้นแบบกล้องดิจิตอลตัวแรกของโลกก็เกิดขึ้น
1975 : Eastman Kodak ได้ออกแบบกล้องไร้ฟิล์มตัวนี้โดยใช้ Solid State CCD ของบริษัท Fairchild Semiconductor ในปี 1973 กล้องตัวนี้หนัก 3.6 กก. บันทึกเป็นภาพขาว-ดำความละเอียดสูงถึง 0.01 ล้านพิกเซล (100 x 100 พิกเซลหรือ 10,000 พิกเซลนั่นเอง) ลงเทปบันทึกภาพ ใช้เวลา 23 วินาทีในการบันทึกภาพแรกสำเร็จในปี 1975 แต่กล้องตัวนี้ก็ไม่ได้มีการผลิตออกมาเพื่อจำหน่ายแต่อย่างใด1976 : Canon AE-1 กล้องฟิล์ม 35mm ตัวแรกที่ใช้ micro-processor ในตัวออกวางตลาด
1979 : Sony TPS-L2 Walkman ตัวแรกของ Sony ออกมาเริ่มสร้างตำนานจนทุกวันนี้ ราคาอยู่ที่ $200 ในสหรัฐฯ เรียกกันว่า Soundabout
1981 : Model 5150, IBM PC ตัวแรกของโลกออกสู่ตลาดในฟลอลิดา สหรัฐฯ สเปก CPU Intel 8088, Clock speed 4.77MHz, Memory (RAM) 16K, ไม่มีฮาร์ดดิสก์
1981 : การเกิดขึ้นของ Sony Mavica สร้างยุคใหม่ของกล้องถ่ายรูป MAVICA ย่อมาจาก Magnetic Video Camera หลายคนคงทันเห็น หรือใช้กล้อง Mavica แต่นั่นไม่ใช่รุ่นที่เรากำลังพูดถึง กล้อง Mavica ตัวแรกนี้เป็นกล้อง SLR !!!! บันทึกภาพนิ่งคุณภาพ TV ลง Floppy Disk ขนาด 2 นิ้ว มีเลนส์ 3 ตัว 25mm f/2, a 50mm f/1.4, และ 16-65mm f/1.4 zoom ใช้ CCD ความละเอียด 570 x 490 หรือประมาณ 3 แสนพิกเซล ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ AA 3 ก้อน กล้องตัวนี้ไม่มีจอภาพ แต่ดูภาพได้บน TV
1982 : Sony CDP-101 เป็น CD Audio Player ตัวแรกของโลกที่วางตลาดคอนซูมเมอร์ ราคาอยู่ที่ $900
1984 : Apple ออกวางตลาดเครื่อง Macintosh เครื่องแรก ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่เน้นการใช้งานด้านกราฟฟิกและมี User Interface ที่ใช้งานง่าย เครื่องแมคเครื่องนี้ไม่มีชื่อรุ่น มีแต่ชื่อ "Macintosh" ติดอยู่ด้านหลังเครื่อง ราคา $2495 ใช้ CPU68000 ความเร็ว 8MHz มีแรม 128KB และ Floppy Drive ขนาด 3.5 นิ้วความจุ 400KB มาพร้อมจอขาว-ดำขนาด 9 นิ้ว
1986 : Kodak พัฒนากล้อง Megapixel ขนาดพกพาตัวแรกของโลก มี CCD ความละเอียด 1.4 ล้านพิกเซล รุ่น Videk Megaplus ราคาเริ่มต้นที่ $10000 !! แต่กล้องตัวนี้ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นกล้องดิจิตอลตัวแรกของโลกได้ เพราะว่าต้องใช้ singnal processing unit ภายนอก และต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างภาพอีกที
1988 : Fuji DS-1P เป็นกล้องดิจิตอลตัวแรกที่ใช้หน่วยความจำเป็นการ์ดและวางจำหน่ายในวงกว้าง ถึงจะเป็นการบันทึกแบบดิจิตอลอย่างแท้จริง แต่การ์ดที่ใช้ยังเป็นหน่วยความจำแบบ SRAM ซึ่งต้องใช้ไฟเลี้ยงตลอดเวลา
1990 : Adobe Photoshop 1.0 ออกแล้ว ทำงานบนเครื่อง Mac
1991 : Kodak DCS100 เป็น DSLR ตัวแรกของโลก อันที่จริงเป็นกล้อง Nikon F3 ประกอบกับ digital back ของโกดักที่มี CCD 1.3 ล้านพิกเซล กล้องตัวนี้ต้องใช้ร่วมกับ DSU (Digital Storage Unit) สำหรับเป็น harddisk เก็บภาพ มีจอดูภาพและถ่ายโอนจาก DSU ไปยัง PC ได้1994 : Apple Quick Take 100 เป็นกล้องดิจิตอลตัวแรกของโลกที่ขายกันในตลาดคอนซูมเมอร์ เป็นกล้องถ่ายภาพสี ความละเอียด 640x480 หรือประมาณ 3 แสนพิกเซล ราคาอยู่ที่ $749 มีหน่วยความจำในตัว เก็บภาพได้ 8 ภาพ หลังจากนั้นก็ยังมีกล้องรุ่น Quick Take อื่นๆ ออกมาเรื่อยๆ Kodak ออกกล้องดิจิตอลระดับโปรตัวแรกวางขายสำหรับช่างภาพ เป็นกล้อง Nikon N90 กับ Digital back เซนเซอร์ขนาด 1024 x 1280 พิกเซลของโกดัก ISO 200 - 1600. Shutter 1/8000 - 30 seconds. สเปกไม่ใช่เล่น ราคาก็ไม่เล่น $17,950 เท่านั้นเอง หลังจากนั้นกล้องแนวนี้ก็มีออกรุ่นใหม่ๆมาอยู่เรื่อยๆ เช่น DCS460 (1995) ซึ่งความละเอียดสูงถึง 6 ล้านพิกเซล (2036 x 3060) หรือรุ่น DCS 3 ที่ออกกับกล้อง Canon EOS-1N ความละเอียด 1.3 ล้าน และอีกหลายรุ่น MJ-700V2C Inkjet สีคุณภาพ photo ตัวแรกของโลก ไม่ใช่ของใครที่ไหน ก็ EPSON เจ้าประจำ หน้าตาไม่ต่างจากปรินเตอร์ปัจจุบันซักเท่าไหร่
Compact Flash เกิดแล้ว โดย Sandisk นี่เอง ความจุเริ่มต้นที่ 2-24MB มีตัวประมวณผลในตัวสำหรับประมวลการถ่ายโอนข้อมูล ใช้หน่วยความจำชนิด Flash เป็น non-volatile ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่เพื่อรักษาข้อมูลไว้ Smart Media Card เกิดตามมาติดๆ ต่างกับ CF ที่ไม่มีตัวประมวณผล ทำให้บางลง แต่ต้องใช้ตัวประมวลผลที่อยู่ในกล้อง
ประวัติของ Googl.^^+

ประวัติ Google.com
ช่วงก่อตั้ง
กูเกิล ก่อตั้งโดยลาร์รี เพจ(Larry Page) และเซอร์เกย์ บริน(Sergey Brin) เริ่มต้นพัฒนามาจากโครงงานวิจัยซึ่งเป็นวิทยานิพนธ์ ในช่วงที่กำลังศึกษาปริญญาเอกอยู่ที่ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1996 โดยใช้ชื่อโครงงานว่า แบ๊กรับ โดยเน้นเนื้อหาในการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ทั้งเพจและบรินได้ตัดสินใจทดสอบประสิทธิภาพของระบบการค้นหาของตน โดยจดทะเบียนโดเมนเนม Google วันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1997 ภายหลังได้ก่อตั้งบริษัทชื่อ กูเกิล ในปี ค.ศ. 1998
ต่อมากูเกิลได้เปิดให้ผู้พัฒนาโปรแกรมคนอื่น สามารถนำโค้ดกูเกิลไปใช้ได้ โดยใช้ฐานข้อมูลจากทางกูเกิล ตัวอย่างบริษัทที่ใช้ได้แก่ มูลนิธิมอซิลลา ผู้พัฒนาเบราว์เซอร์ ไฟร์ฟอกซ์ บริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ ผู้พัฒนาเบราว์เซอร์ ซาฟารี
การเปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชน
ในปี พ.ศ. 2547 ได้เปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชนและเข้าตลาดหุ้นแนสแด็ก (NASDAQ) โดยใช้ดัชนีชื่อ GOOG หุ้นของกูเกิลในช่วงทำ Initial Public Offering (IPO) มีมูลค่าสูงขึ้นมากกว่า 200% ในช่วงปิดตลาดหุ้นของวันแรกที่ได้ประกาศ (เปรีบเทียบกับ ไป่ตู้ เสิร์ชเอนจินของประเทศจีน มูลค่าเพิ่มขึ้น 354% ในช่วงปิดตลาดวันแรก วันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2548)
ชื่อ Google
ชื่อ “Google” มาจากคำว่า “googol” ซึ่งหมายถึงจำนวนทางคณิตศาสตร์ที่หมายถึงเลข 1 แล้วตามด้วยเลข 0 อีกหนึ่งร้อยตัว หรือ 10 ………0(0 จำนวน 100 ตัว) เพื่อเป็นการแสดงถึงเป้าหมายของบริษัทที่จะจัดการกับข้อมูลจำนวนมหาศาล อีกกระแสหนึ่งบอกว่าชื่อ Google มาจากความผิดพลาดในการจดโดเมนเนมในช่วงก่อตั้ง
ในวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 กูเกิลชนะความในศาล ในคดีที่มีบริษัทอื่นตั้งชื่อใกล้เคียง ได้แก่ googkle.com ghoogle.com และ gooigle.com เพื่อเรียกให้คนอื่นเข้าเว็บไซต์ของตน ทำให้เกิดความเสียหายกับชื่อเสียงของกูเกิล
วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553
Pineberry

เป็นที่ดึงดูดความสนใจของคนที่ชื่นชอบผลไม้ซะเหลือเกิน สำหรับผลไม้ชนิดใหม่ "พายเบอร์รี่" ที่หน้าตาละม้ายคล้ายกับสตรอเบอร์รี่ทุกประการ แตกต่างตรงที่สีของผลจะเป็นสีขาว ส่วนเมล็ดเป็นสีแดง และที่น่าแปลกคือรสชาติของมันดันไปเหมือนสับปะรดซะอย่างงั้นแน่ะ โดยไอ้เจ้าพายเบอร์รี่ที่ว่านี้ ถูกค้นพบเมื่อประมาณ 7 ปีก่อน ในประเทศแถบอเมริกาใต้ เมื่อแรกออกผลจะเป็นสีเขียว และค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีอ่อนลงเรื่อย ๆ และเมื่อมันหวานและฉ่ำพอที่จะกินได้แล้ว เนื้อของพายเบอร์รี่จะเปลี่ยนเป็นสีขาว ส่วนผลของมันจะเล็กกว่าสตรอเบอร์รี่เล็กน้อย เรียกว่าเป็นพี่ราสท์เบอร์รี่ แต่เป็นน้องสตรอเบอร์รี่เลยก็ว่าได้
A B C D
dibs.แปลตรงๆก็คงประมาณว่า "จองเว้ย" นั่นแหละ ซึ่งเราเรียกกระบวนการนี้ว่า
การ "Cal dibs"
จะยกตัวอย่างการใช้....ไปดูกันว่าเหตุการณ์นี้ใช้ dibs. อย่างไร?
เพื่อนหนุ่มกลุ่มหนึ่งพากันออกเที่ยวกลางคืน เมื่อโผล่หน้าเข้าไปใขพับก้พบกับสาวๆมาหน้าหลายตา
และแล้ว>>>
"หึย! แกดูนู่น ผมยาว ชุดเขียว เสียวสุดๆ Xสลัดๆ!"
"dibs."
"เฮ้ย ฉันเห็นก่อนนะเว้ย! You loser,I saw her first!"
"But you didn't say 'Dibs',did you? Sorry, dude."
นายAผู้สายตาดี แต่เสียดายปากไม่ไวเท่านายB จึงได้แต่มองยืนขบกรามกรอดๆ มองเพื่อนไปสีน้องเขียว
ด้วยความเจ็บใจเป็นล้นพ้น
อิอิ การใช้ dibs.เป็นต้น
วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553
5 กันยายน อีกครั้ง^^
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ชอบดื่มกาแฟฟังทางนี้จ้า


มอคค่า อาจหมายถึงกาแฟอราบิก้าชนิดหนึ่ง ซึ่งปลูกอยู่บริเวณท่าเรือมอคค่าในประเทศเยเมน กาแฟมอคค่ามีสีและกลิ่นคล้ายชอคโกแลต (แม้ว่าจะไม่มีส่วนประกอบของชอคโกแลตในมอคค่าเลยก็ตาม) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้กาแฟมอคค่าเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
ลาเต้ (อิตาลี: Latte) เป็นภาษาอิตาลีแปลว่านม ส่วนในประเทศอื่น จะหมายถึง กาแฟลาเต้ หรือเครื่องดื่มกาแฟที่เตรียมด้วยนมร้อน โดยการเทเอสเปรสโซ 1/3 ส่วน และนมร้อนอีก 2/3 ส่วน ลงในถ้วยพร้อมๆ กัน และจะหยอดโฟมนมหนาประมาณ 1 ซม. ทับข้างบน ในประเทศอิตาลี กาแฟลาเต้นี้รู้จักกันในชื่อของ "caffè e latte" ซึ่งหมายถึง กาแฟกับนม ซึ่งใกล้เคียงกับในภาษาฝรั่งเศส คำว่า "café au lait" กาแฟลาเต้เริ่มเป็นที่นิยมนอกประเทศอิตาลีในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980
คาปูชิโน (อิตาลี: cappuccino) เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มประเภทกาแฟซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี คาปูชิโนมีส่วนประกอบหลักคือ เอสเปรสโซ และ นม คำว่า Cappuccino เป็นภาษาอิตาเลียน ออกเสียงให้ถูกต้องว่า กัปปุชชิโน่
การชงคาปูชิโนโดยส่วนใหญ่มักมีอัตราส่วนของเอสเปรสโซ 1/3 ส่วน ผสมกับนมสตีม (นมร้อนผ่านไอน้ำ) 1/3 ส่วน และนมตีเป็นโฟมละเอียด 1/3 ส่วนลอยอยู่ด้านบน นอกจากนั้นอาจโรยหน้าด้วยผงซินนามอน หรือ ผงโกโก้เล็กน้อยตามความชอบ ส่วนผสมของคาปูชิโนต่างจากของลาเต้ มาเกียโต้ (latte macchiato) ซึ่งประกอบไปด้วยนมเป็นส่วนใหญ่และนมตีโฟมเพียงเล็กน้อย
ในประเทศอิตาลี ผู้คนมักดื่มคาปูชิโนเป็นอาหารเช้าโดยเฉพาะ โดยอาจมีขนมปังแผ่นหรือคุกกี้ประกอบ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าวิถีชีวิตของชาวอิตาลีมักไม่ค่อยรับประทานอาหารเช้าแบบเป็นกิจลักษณะ คาปูชิโนและขนมปังเบาๆ จึงเหมาะเป็นอาหารรองท้องสำหรับยามเช้า และด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่ดื่มคาปูชิโนในช่วงอื่นของวัน แต่สำหรับต่างประเทศรวมถึงประเทศไทย การดื่มคาปูชิโน ดื่มได้ทุกเวลาโดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก
เอสเปรสโซ (อิตาลี: espresso) คือกาแฟที่มีรสแก่และเข้ม ซึ่งมีวิธีการชงโดยใช้แรงอัดไอน้ำหรือน้ำร้อนผ่านเมล็ดกาแฟคั่วที่บดละเอียด ที่มาของชื่อ เอสเปรสโซ มาจากคำภาษาอิตาลี "espresso" แปลว่า เร่งด่วน เอสเปรสโซเป็นกาแฟที่นิยมมากที่สุดในแถบประเทศยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะประเทศอิตาลี การสั่งกาแฟ "caffe" ในร้านโดยทั่วไปก็คือสั่งเอสเปรสโซ เอสเปรสโซถูกผลิตที่อิตาลีเอสเปรสโซมีต้นกำเนิดที่อิตาลีตอนที่อิตาลีล่าเอธิโอเปียมาเป็นอาณานิคมกาแฟก็นำมาปลูกที่อิตาลีส่วนใหญ่ ด้วยวิธีการชงแบบใช้แรงอัด ทำให้เอสเปรสโซมีรสชาติกาแฟซึ่งเข้มข้นและหนักแน่น ต่างจากกาแฟทั่ว ๆ ไปซึ่งชงแบบผ่านน้ำหยด และเพราะรสชาติเข้มข้นและหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้เอง ทำให้คอกาแฟดื่มเอสเปรสโซโดยไม่ปรุงด้วยน้ำตาลหรือนม และมักจะเสิร์ฟเป็นชอต (แก้วแบบจอก) เพื่อให้ปริมาณไม่มากจนเกินไป (ประมาณ 1-2 ออนซ์ หรือ 30-60มิลลิลิตร แตกต่างตาม พฤติกรรมการดื่ม ของแต่ละประเทศ) การสั่งเอสเปรสโซตามร้านกาแฟทั่วไป มักสั่งตามปริมาณเป็น "ซิงเกิ้ล" หรือ "ดับเบิ้ล" (ชอตเดียว หรือ สองชอต) เอสเปรสโซมีความไวสูงในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เพื่อไม่ให้เสียรสชาติจึงควรดื่มตอนชงเสร็จใหม่ ๆ
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ฝากไว้ให้คิด....
ลืมฉันหรือยัง แค่อยากรู้
ฉันเหมือนเดิมทุกอย่าง
ฉันยังจำเธออยู่เสมอ
วันและคืนหมุนเวียน เปลี่ยนใจคนง่ายดาย
แต่ฉันก็ยังไม่ลืมเธอ
แม้เรื่องเราจะจบ แม้ว่าคงไม่เจออีกแล้ว
แปลกดีที่หัวใจของคน
พยายามจะลบเลือน ยิ่งจำยิ่งร้อนรน
เมื่อรักใคร ฝังใจไร้เหตุผล
ลืมกันลงหรือไร ลืมกันไปหรือยัง
มีภาพเลือนลางอยู่บ้างไหม
เพราะยังรักเธออยู่
ฉันไม่รู้จะลืมอย่างไร
ฉันยังเป็นคนเก่า
แม้ว่าเรื่องของเราจบไป
วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เมื่อฉันกลับจากทะเล
ฉันไปทะเลฝั่งอ่าวไทย
ฉันไปนอนอ่านหนังสือบนชายหาด
ฉันไปกินอาหารทะเล
ฉันไปเก็บขยะลิมหาด
ฉันไปขี่มอเตอร์ไซค์รอบเกาะ
ฉันไปพายเรือแคนนู
ฉันไปดำน้ำดูปะการัง
พอกลับมาจากทะเล
ฉันผิวคล้ำขึ้น ฉันเป็นกระ ฉันเป็นผื่นทั้งตัวเพราะแพ้แมลง
และเท้าของฉันเป็นแผลจาการเหยียบโขดหิน
เพื่อนทักฉันว่า "แกตัวดำขึ้นว่ะ"
ฉันยักคิ้ว ยิ้มกว้าง พลางนึกในใจว่า
คำว่า "ได้ประสบการณ์"
แปลว่าเราไม่ได้กลับมาเป็นคนเดิมไงเล่า^^
วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

..............................................................................................................................
การมี “ความอยาก” ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ “ความอยาก” ที่ว่านี้ ถ้ามีพอประมาณ ก็จะเป็นแรงผลักดันให้เราต่อสู้ มีความฝัน ความหวัง และกำลังใจในการที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ทุกวันนี้คนเรามี “ความอยาก” ที่มากไป โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นที่ทำงานแล้ว มีสิ่งมาล่อ “ต่อมอยาก” ก็คือ ความดีความชอบในแต่ละปี ยิ่งใกล้ช่วงพิจารณาเท่าใด “ต่อมอยาก” ก็จะ “ผลิตฮอร์โมน อยากมาก ๆ” ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ (คงเป็นต่อมใต้สมอง) จิตใจก็จะเร่าร้อน ริษยาเมื่อเห็นใครได้ดีกว่า ความอยากที่มากไป ประกอบกับความสามารถที่ไม่เหมาะสมกับความอยากก็ย่อมก็ให้เกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน
วิธีคิดง่าย ๆ เราลองประเมินระดับตัวเองก่อนว่าเราอยู่ตรงไหน แค่ไหน ความสามารถเท่าใด อย่าหลอกและหลงตัวเอง แม้เราไม่เท่ากับใครบางคน แต่เราก็ยังดีกว่าคนอีกมากมาย แม้เราไม่เท่าเขาในวันนี้ไม่เป็นไรวันหน้าเราอาจได้ดีกว่าเขาเท่าทวีคูณ ถ้าเรามีความสม่ำเสมอในการทำดี มนุษย์เราถ้ารู้จักทำอะไรที่พอตัว พัฒนาไปตามครรลองของ “ความอยาก” หรือ “ความทะเยอทะยาน” ที่พอเหมาะพอควร โชคชะตาก็จะสร้างทางชีวิตที่สวยงาม ให้เราได้เดินเรื่อย ๆ มีความสุขเต็ม ๆ กับชีวิต ทำส่วนของเราให้ดีที่สุด จงคิดว่าได้เท่าที่ได้ ชีวิตจะได้ความดี ตอบแทนเมื่อถึงเวลา แล้วเราจะสุขแบบท่วมท้นใจ ดังบทเพลงนี้….
อาจจะมีพร้อม แต่ชีวิตก็ยังวุ่นวาย ยังไม่พอดี ยังไม่พอใจ ถึงได้หนาวกาย และหนาวใจอยู่ดี ......
อาจจะน้อย แต่ไม่ขอให้มีมากมาย มีแค่พอดี มีแค่พอใจ ถึงต้องหนาวกาย แต่หัวใจอุ่นใจอุ่นดี.........
ทำไมบางคนทำผิดหรือทำพลาด เขาถูกตำหนิหรือถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างย่อยยับ ทั้งที่ความผิดของเขาไม่ใช่เรื่องขอขาดบาดตาย ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ชีวิตเขาถูกกระหน่ำซ้ำเติมทุกอย่าง
เพราะ...ในความผิดพลาด ธรรมชาติของคนจะลงโทษตนเองแล้ว นั่นคือ ความเสียใจ...และต้องหันกลับไปคิดว่า...ทำไมเราผิดพลาดขนาดนี้...ย้ำคิด ย้ำทำ เวียนมา และเสียใจอยู่อย่างนั้น
ถ้าเราเปิดคำวิจารณ์แย่ๆ จากข้างนอก จากไหน จากใครก็ตาม ทำให้เราจมอยู่กับอดีต ความหลังทำให้ความรู้สึก ลงโทษตัวเอง อย่างไม่สิ้นสุด จึงเป็นเรื่องยากที่จะพูความรู้สึกภาคภูมิใจให้พึงกับมา เพื่อเป็นพลังในใจอีกครั้ง ส่วนใหญ่คนเราจะเสียเวลาอยู่กับความผิดพลาด ล้มหนึ่งครั้ง หมดพลัง ยากที่จะลุกขึ้นยื่น
แต่ก็มีคนอีกประเภท...เขาจะผิดอะไร กลับไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์ หรือซ้ำเติม...คงเป็นเพราะว่าคนกลุ่มนี้จะเคารพและเติมพลังใจในการกระทำของตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว เมื่อประสบความสำเร็จ ความสำเร็จคือรางวัล เมื่อล้มเหลว ความล้มเหลวคือของขวัญ เมื่อเราเติมพลังใจให้เกียรติตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างก็จะนับถือให้เกียรติเรา
ฉันเคยได้ยินว่า “ คนที่ทำผิดซ้ำสองคือคนโง่ ” คนเรารู้สึกแย่อยู่แล้วเมื่อผิดซ้ำสอง แต่...ฉันเป็นคนหนึ่งที่เคยทำผิดซ้ำที่เดิม ย้ำรอยเดิม ถึง สองสามครั้ง ต่างกันแค่เวลาเท่านั้น ฟังดูแล้วไม่น่าให้อภัย...คนอะไรแย่ชะมัด สิ่งหนึ่งที่ฉันยอมรับและเซ็งตัวเองสุดขีดคือ ฉันพลาดและพลั้ง(อีกแล้ว) แต่ฉันก็เติมพลังใจให้เกียรติกับความผิดพลาดอยู่เสมอ อย่างไร ก็ตามฉันจะไม่เว้นช่องว่างให้ใครซ้ำเติมเด็ดขาด คือ ผิดนะ ใช่ แล้วยังไงก็มันผิดแล้วนี่ แต่ฉัน...ไม่ได้โง่นะ...จะบอกให้...เพราะคนโง่มันเป็นบทสรุปของคนที่ไม่สามารถทำอะไรให้ประสบความสำเร็จได้เลยตลอดชีวิต
บางครั้งการทำพลาดซ้ำๆ อาจทำให้เสียเวลา แต่อย่าลืมว่าการผิดพลาดทุกครั้งจะเกิดสิ่งที่ดีตามมาเสมอ เพราะสิ่งที่ดีที่สุด อาจเกิดความผิดพลาดที่จุดเดิม...เหมือนผู้หญิงบางคน เปลี่ยนคนรักด้วยเหตุอะไรไม่ทราบ...จนได้เจอคนที่ดีกว่า บางคนเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ จนได้งานที่ดีที่สุด มักอาจได้หัวหน้าที่ดีที่สุด (จะมีซักกี่เปอร์เซ็นต์นะ อย่าเสือปะจระเข้ก็แล้วกัน) ทุกการกระทำไม่มีบทสรุปแน่นอนว่าจะเกิดสิ่งที่ดีที่สุด เพราะการกระทำทุกการกระทำจะมีผลลัพธ์ในตัวเองเสมอ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว จงเติมพลังใจ ให้เกียรติกับชีวิต และผลลัพธ์การกระทำของตัวเองทุกครั้ง แล้วสังคมคนรอบข้างก็จะให้เกียรติในการกระทำของเรา...เพียงแต่เรา...อย่ามองตัวเอง...เป็นคนที่ผิดพลาดจบอยู่กับห้วงความล้มเหลว ปืนบันไดความสำเร็จไม่ได้สักที...จงเติมเชื่อไฟ ให้มีพลัง พร้อมที่จะลุกขึ้นมายืนใหม่...อีกครั้ง...อย่างทระนง
สู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
...โลกนี้มีผู้ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่จำนวนมาก บางคนก็เป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ บางคนก็เป็นนักแต่งเพลง จิตรกร นักวิทยาศาสตร์ นักกีฬา นักธุรกิจ หรือนักปกครองประเทศที่ยิ่งใหญ่ เรามาดูกันว่า การก้าวไปเป็นผู้ประสบความสำเร็จมีกฎอะไรบ้าง
คนที่มีความต้องการที่จะประสบความสำเร็จ เขามีนิสัยอย่างนี้
1. จะใช้เวลาคิดเพื่อหาทางปรับปรุงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น
2. ชอบแก้ปัญหามากกว่าจะปล่อยให้โชคชะตาเป็นผู้เปลี่ยนสิ่งต่างๆ
3. มักตั้งเป้าหมายชนิดที่ทำให้สำเร็จค่อนข้างยาก แต่ก็เป็นไปได้
คนประเภทนี้จัดตั้งมาตรฐานการทำงานของตนได้อย่างเลอเลิศ และพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้ตามนั้น พวกเขาชอบการท้าทายโอกาส และตั้งใจมั่นที่จะเอาชนะอุปสรรคทั้งหลายให้ได้ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือความปลาบปลื้ม อันเกิดจากความสำเร็จจากบุคคล ไม่ใช่เพื่อเงินหรือรางวัล และที่ต้องการประสบความสำเร็จ...เขาจะต้องมีคุณสมบัติอย่างนี้ด้วย
4. มีมนุษย์สัมพันธ์
5. ใช้ความคิดสร้างสรรค์
มีเรื่องหนึ่งเรามักตกหลุมตัวเองตาย คือเรามักติดกับความคิดของเราเอง เช่น คิดกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าก่อนว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งชี้ขาด คิดตามความเคยชิน ยึดติดกับวิธีขบคิดบางอย่าง เป็นต้น วิธีแก้ก็คือคุณต้องทำลายกรอบความคิดที่ไม่เข้าถ้านี้ลง รองทำเรื่องบางอย่างแหวกกฎเกณฑ์เดิมหัดคิดเรื่อยเปื่อย สะระตะในยามว่างบ้าง โดยไม่ต้องสนใจว่ามันจะเป็นไปได้หรือเปล่า
6. รู้จักฟัง
การรับฟังทัศนะของผู้อื่นๆ มีประโยชน์มาก แต่คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะพูดมากกว่าฟัง โดยเฉพาะในการประชุม การสัมมนา อภิปราย เป็นต้น ผู้ร่วมประชุมมักจะพูดคุยสัพเพเหระกันเองมากกว่าจะสนใจฟังวิทยากร บางครั้งจึงทำให้พลาดข่าวสารที่สำคัญ ในขณะเดียวกัน คำพูด หรือทัศนะที่ออกมาในลักษณะการนินทา การว่าร้าย ซึ่งมักก่อให้เกิดการเข้าใจผิด หรือผิดใจกันมาก กับมีแต่คนสนใจฟังคุณต้องเลือกเองว่าจะรับฟังอะไรบ้าง ถึงจะมีประโยชน์กับตัวคุณ
....................................................................................................................................
แหล่งที่มา : บทความสุขภาพจิต โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์
เศรษฐกิจพอเพียงกับการจัดการโซ่อุปทาน

เศรษฐกิจพอเพียงกับการจัดการโซ่อุปทาน
อุปสงค์และอุปทาน
โลกของเราพัฒนาและถูกผลักดันด้วยระบบนี้มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ในอดีตเรามีแต่ของจริงที่จับต้องได้ไม่ใช่สิ่งสมมุติ เราขุดหาวัตถุดิบได้จากพื้นดินหาของกินได้จากในป่าหรือแม่น้ำ ท้องทะเลแล้ว เราก็แบ่งปันกันในสังคมที่อยู่ร่วมกัน อาจจะมีการแย่งชิงกันบ้างในบางช่วงเวลา แต่ระบบการอยู่ร่วมกันก็ยังรักษาสมดุลได้มาตลอดทั้งสังคมมนุษย์และธรรมชาติ จนมาถึงเมื่อไม่กี่พันปีที่ผ่านมา กระแสแห่งปัญญาของมนุษย์ก็เริ่มพัฒนามากขึ้นแต่ก็มากด้วยกิเลสในขณะเดียวกันมนุษย์ก็รุกรานเข้าไปในธรรมชาติด้วยเหตุผล เรามนุษย์จะต้องชนะธรรมชาติจนทำให้เรามนุษย์นั้นลืมไปว่า เรามนุษย์นั้นเป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่สุดความสมดุลของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับธรรมชาติก็ค่อยลดลงเรื่อยเมื่อเกิดการไหลของสิ่งสมมุติที่เรียกว่าเงินหรือทุนที่ได้สร้างมายาภาพของความต้องการที่ไม่รู้จักสิ้นสุดจึงทำให้อุปทานไม่สามารถตอบสนองกับอุปสงค์ได้ โดยเฉพาะแหล่งพลังงานพื้นฐานประเภทน้ำมัน ซึ่งกำลังจะหมดลงไปเรื่อย ๆ และวันนั้นโลกเราคงจะปรับตัวครั้งใหญ่เศรษฐกิจพอเพียงนี้
เศรษฐกิจพอเพียงควรอยู่ในจิตสำนึก
ถึงแม้ว่าเราจะได้รับแนวคิดนี้ไป แต่การนำเอาแนวคิดไปประยุกต์ใช้ก็จะเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง แนวคิดหรือ Thinking นั้นส่วนมากจะเป็นคำกล่าวที่สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ยากที่เข้าใจและจะเอาไปประยุกต์ใช้กับปัญหาที่ซับซ้อน การนำเอาแนวคิดที่เรียบง่ายไปใช้กับปัญหาใหญ่ที่ซับซ้อนได้นั้นคงจะต้องมีขั้นตอนหรือการลงทุนกันบ้าง คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ลงทุน หรือปรับเปลี่ยนอะไรเลย การลงทุนอย่างแรกเลย คือ การเข้าใจตัวเอง การเข้าใจความสามารถตัวเอง การเข้าใจลูกค้า จากนั้นก็ต้องมีความเข้าใจในแนวคิดที่จะนำมาใช้ แต่ทั้งสองส่วนก็ยังใช้ร่วมกันไม่ได้ เพราะคนทั้งองค์กรมีความหลากหลายกันมากและตัวแนวคิดเองก็ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดของการดำเนินการเลยดังนั้นผู้นำเอาแนวคิดไปใช้จะต้องตีความหมายให้ออก และออกแบบการดำเนินการให้เหมาะสมกับตัวเองหรือองค์กร
ดังนั้นแนวคิดอย่างเดียวจะไม่มีทางขับดันองค์การให้เคลื่อนตัวไปและอยู่อย่างยั่งยืนได้ และที่สำคัญทุกคนในองค์กรตั้งแต่ระดับบนลงล่างมีระดับความเข้าในในแนวคิดนี้ไม่เท่ากัน แนวคิดหรือ Thinking นั้น เหมือนเป็นแบบจำลองอ้างอิง (Reference Model) ที่แต่ละธุรกิจหรือปัญหา จะต้องนำมาประยุกต์ใช้หรือให้รายละเอียดที่มีความเกี่ยวโยงกับธุรกิจหรือปัญหาที่เราสนใน สิ่งที่เชื่อมโยงระหว่าง Thinking กับการปฏิบัติการ (Operations) คือ การสร้างหลักการ(Principles) และแบบจำลองการดำเนินงาน (Execution Model) หลักการ (Principles) เป็นผลลัพธ์จากการสร้างความเชื่อมต่อระหว่างแนวคิดและการปฏิบัติการที่เป็นเรื่องเฉพาะแต่ละบุคคลหรือแต่ละองค์กร หลายองค์กรอาจจะมีแนวคิดเดียวกัน แต่การปฏิบัติการนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะบริบทหรือภาวะแวดล้อมของแต่ละธุรกิจนั้นไม่เหมือนกัน
ดังนั้นเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเป็นเหมือนแนวคิดหนึ่งในการดำรงชีวิตเชิงเศรษฐศาสตร์ที่ต้องฝังรากลงไปในจิตสำนึก ไม่ใช่พื้นดินเหมือนกับเราเข้าใจกัน ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพใดก็ตามเศรษฐกิจพอเพียงก็สามารถใช้ได้ เพียงแต่คุณจะเข้าใจและเห็นประโยชน์มากน้อยแต่ต่างกันออกไป จากนั้นคุณก็สามารถที่สร้างหลักการ (Principles) ของชีวิตคุณหรือธุรกิจของคุณตามแนวคิดนั้น ๆ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติในระดับการดำเนินงานของคนทั่วไปในองค์กร ประเด็นสำคัญที่เป็นปัญหามาก ๆ คือ ทุกคนเข้าใจไม่เท่ากัน โดยเฉพาะแนวคิดที่เป็นคำกล่าวที่เรียบง่าย เช่นนั้นแล้ว บุคคลธรรมดาทั่วไปย่อมเข้าใจได้ระดับหนึ่ง แต่การนำไปปฏิบัติให้เกิดผลคงจะต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อ้างอิง
วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันแม่แห่งชาติ

ทุกวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี
แต่เดิมนั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาไว้วันที่ 15 เมษายนของทุก ๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรอง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2493 ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงาน วันแม่ มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2493 เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างขวางออกไป มีการจัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา การประกวดคำขวัญวันแม่ การประกวดแม่ของชาติ เพื่อให้เกียรติและตระหนักในความสำคัญของแม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของวันแม่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาลฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าวันแม่ของชาติ
ต่อมาถึง พ.ศ.2519 ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
วันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่ทางราชการกำหนดในวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี และถือว่าเป็นวันสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย โดยกำหนดให้ถือว่า "ดอกมะลิ" สีขาวบริสุทธิ์เป็นสัญลักษณ์ของความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดแก่เรา
แม่คือพระผู้สร้างให้กำเนิด
ผู้ประเสริฐก่อเกิดลูกปลูกความฝัน
ถักทอรักฟูมฟักเนิ่นนานวัน
จนลูกนั้นเติบใหญ่จนได้ดี
เป็นดั่งเทียนยอมเผาตนจนมอดไหม้
ยังแสงให้ลูกเห็นทางไม่ห่างหนี
แสงอาทิตย์ส่องทางเดินเนิ่นนานปี
มารดานี้ส่องสว่างทางชีวัน
"แม่"จึงเป็นผู้สร้างทางชีวิต
คอยลิขิตแต่งแต้มหลากสีสัน
จากผ้าขาวผืนขาดเมื่อวานวัน
กลับเปรผันเป็นผ้างามยามเติบโต
• อาทิตย์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์ นอร์เวย์
• 8 มีนาคม บัลแกเรีย, แอลเบเนีย
• อาทิตย์ที่สี่ในฤดูถือบวชเล็นท์ (มาเทอริง ซันเ ดย์) สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์
• 21 มีนาคม (วันแรกของฤดูใบไม้ผลิ) จอร์แดน, ซีเรีย, เลบานอน, อียิปต์
• อาทิตย์แรกของเดือนพฤษภาคม โปรตุเกส, ลิทัวเนีย, สเปน, แอฟริกาใต้, ฮังการี
• 8 พฤษภาคม เกาหลีใต้ (วันผู้ปกครอง)
• 10 พฤษภาคม กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย, ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้, บาห์เรน, ปากีสถาน, มาเลเซีย, เม็กซิโก, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อินเดีย, โอมาน
• อาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม แคนาดา, สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน), สาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, เดนมาร์ก, ตุรกี, นิวซีแลนด์, เนเธอร์แลนด์, บราซิล, เบลเยียม, เปรู, ฟินแลนด์, มอลตา, เยอรมนี, ลัตเวีย, สโลวาเกีย, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, อิตาลี, เอสโตเนีย, ฮ่องกง
• 26 พฤษภาคม โปแลนด์
• 27 พฤษภาคม โบลิเวีย
อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม สาธารณรัฐโดมินิกัน, สวีเดน
อาทิตย์แรกของเดือนมิถุนายนหรือ อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ฝรั่งเศส
• 12 สิงหาคม ไทย (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ)
• 15 สิงหาคม (วันอัสสัมชัญ) คอสตาริกา, แอนท์เวิร์ป (เบลเยียม)
อาทิตย์ที่สองหรือสามของเดือนตุลาคม อาร์เจนตินา (Día de la Madre)
• 28 พฤศจิกายน รัสเซีย
• 8 ธันวาคม ปานามา
• 22 ธันวาคม อินโดนีเซีย
วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553
พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของนักศึกษาระดับปริญญาตรี
พฤติกรรมการใช้ อินเทอร์เน็ตของนักศึกษาระดับปริญญาตรี( เฉพาะมหาวิทยาลัยของ ภาครัฐ)ขณะที่หลายฝ่ายได้พยายาม ผลักดันให้นักเรียน นักศึกษาบ้านเราได้มีโอกาสได้ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม จากการเรียนการสอนในแต่ละวันทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งทางภาครัฐ เอกชน หรือ รัฐวิสาหกิจ ที่มองเห็น ช่องทางในอนาคต ได้ร่วมกันสนับสนุนเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น การขอเลขหมายโทรศัพท์ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ เล่นอินเทอร์เน็ตฟรี หรือ จะเป็น แพ็คเกจชั่วโมง ที่ปัจจุบันได้ลดราคาแข่งกันชนิดที่เรียกว่าแทบจะต่างกันในระดับสตางค์ต่อนาทีเลยทีเดียว หรือว่าจะเป็นการขยาย ความกว้างของสัญญาณ (แบนด์วิธ) ระหว่างประเทศ ที่เร่งการโหลดข้อมูลทั้งภาพและเสียง มายังอุปกรณ์ต่อพ่วง ที่พัฒนากันไม่หยุด อย่างล่าสุดก็เคเบิลโมเด็ม, ADSL หรือ GPRS ที่โฆษณาว่าเร็วกระจาย ทะลุจอ ไม่ต้องง้อทีวี ทำให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่ได้มีโอกาสเลือกเวลาในการท่องอินเตอร์เน็ตตามความต้องการ หรือความเป็นส่วนตัวกันมากขึ้น โดยอาจจะไม่ต้องมารอนั่งเล่นอินเทอร์เน็ตกลางดึกกันอีกแล้ว แต่ทั้งนี้ในอีกแง่มุมหนึ่ง ที่ทางผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั้งหลาย ยังคงไม่ยอมควบคุมลักษณะข้อมูลที่ไม่เหมาะสม ต่อเยาวชน ทั้งที่ทำได้โดยไม่ยาก ต่อให้จะป้องกันได้ไม่ถึง 100% แต่อาจเป็นเพราะ "เหตุผลทางด้านการตลาด" แล้ว ทำให้บรรดาผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั้งหลาย หรือแม้จะเป็นในสถาบันการศึกษาชื่อดังของรัฐ หรือเอกชนก็ตาม ได้เลือกที่จะให้ความเป็นอิสระในสิทธิมนุษยชน (ตามฝรั่ง) ต่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้เป็นคนเลือกบริโภคข้อมูล ข่าวสารกันเอง ดังนั้นองค์กรทางสังคมต่างๆ ที่เห็นควรว่า ตนเองน่าจะระวัง หรือมีสำนึกที่เกี่ยวข้องต่อความรับผิดชอบกับปัญหาสังคม ที่จะเกิดตามมา จึงควรที่จะพิจารณาศึกษาลักษณะพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ต ของประชาชน ไว้เพื่อเป็นประโยชน์ ต่อไป ทางสำนักวิจัยเอแบค-เคเอสซี อินเทอร์เน็ตโพลล์ (เอแบคโพลล์) จึงได้ออกแบบสอบถามเบื้องต้น เพื่อศึกษาประเด็นดังกล่าว และเก็บไว้อ้างอิงและพัฒนาลักษณะการสอบถามในประเด็นลึกซึ้งที่เกี่ยวข้องต่อไป จากการออกแบบสอบถาม การติดตามพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ต เฉพาะนักศึกษาในระดับปริญญาตรี ทุกระดับชั้นปีในภาครัฐบาล เป็นจำนวน 1,533 ชุด เฉพาะ ในเขต กรุงเทพมหานคร และ จังหวัดใกล้เคียง โดยมีสัดส่วนผู้ตอบแบบสอบถามเป็น เพศชาย ร้อยละ 49.5 % และ เพศหญิง ร้อยละ 50.5 % มีนักศึกษาจำนวน ร้อยละ 32.1 % ระบุว่าใช้เวลาเล่นอินเทอร์เน็ตประมาณ 4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และมีการใช้อินเทอร์เน็ตในช่วงเวลา 20.01-24.00 มากที่สุดซึ่ง คิดเป็นร้อยละ 58.2 % รองลงมาคือในช่วงเวลา 16.01-20.00 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 38.1 % จากข้อมูลขั้นต้น กองบรรณาธิการที่มีความเชี่ยวชาญ เฉพาะด้าน ทางด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า สัดส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตในจังหวัดที่ไกลออกไปจาก ภาคกลาง ซึ่งประกอบไปด้วย กรุงเทพมหานครฯ และจังหวัดใกล้เคียงนั้น อาจจะมีค่าซึ่งผิดแปลกออกไปจากที่ได้ จากการสำรวจในครั้งนี้ ทั้งนี้เพราะ ในต่างจังหวัด กลุ่มผู้ที่มีความสามารถ เป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์ ส่วนตัวนั้น น่าจะมีน้อยลงตาม การกระจายตัวของเศรษฐกิจ และ อาจจะมีความคล้ายคลึงกันตามหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ สงขลา หรือ นครราชสีมา เป็นต้น เหตุผลหลักในการที่นักศึกษาเข้าไปใช้อินเทอร์เน็ต ระบุว่า ใช้ icq ในการสนทนาบนอินเทอร์เน็ตซึ่งคิดเป็นร้อยละ 41.0 % หัวข้อสนทนาที่นักศึกษาใช้สนทนาบ่อยที่สุดระบุว่าคุยเรื่องทั่วๆไปซึ่งคิดเป็นร้อยละ 49.2 % เหตุผลรอง ลงมาในการที่นักศึกษาเข้าไปใช้อินเทอร์เน็ตคือ ร้อยละ 27.8 % ระบุว่า ใช้เพื่อ check mail ส่วนช่องทางที่ใช้ ในการใช้รับส่ง email เป็นประจำนั้น ร้อยละ 55.1 % ระบุว่า ใช้ Hotmail และ ร้อยละ 25.0 % ระบุว่า ใช้ Yahoo มีข้อสังเกตว่า มีแค่ ร้อยละ 1.9 % ที่ระบุว่า ใช้ MS Outlook ซึ่งนอกนั้นจะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็น e-mail ที่เปิดให้ใช้ โดยไม่คิดค่าบริการ ในส่วนของสถานที่ ที่นักศึกษาเข้าใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดระบุว่า เป็นสถานศึกษา และที่บ้าน โดยมีจำนวน ใกล้เคียงกัน รองลงมาคืออินเทอร์เน็ตคาเฟ่ หรือตามสถานที่ให้บริการทั่วไป ซึ่งวัตถุประสงค์ในการใช้อินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่คือ เพื่อความบันเทิง และเพื่อค้นหาข้อมูลซึ่งมีจำนวนใกล้เคียงกัน ส่วนที่เหลือระบุว่าค้นหาเพื่อนใหม่ อินเทอร์เน็ต แพ็คเกจ ที่ใช้ที่บ้าน จำนวนร้อยละ 31.1 % ระบุว่า KSC, ร้อยละ 22.3 % ระบุว่า CS, ร้อยละ 11.1 % ระบุว่า Asia net โดยมีผู้ไม่ตอบในข้อนี้ ร้อยละ 27.1 %
ที่มา :http://www.tj.co.th/2005/article/expert_talk/index.html
google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);
จรรยามารยาทบนอินเทอร์เน็ต
ทุกวันนี้อินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทและส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในแทบทุกด้าน รวมทั้งได้ก่อให้เกิดประเด็นปัญหาขึ้นในสังคม ไม่ว่าในเรื่อง ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย เสรีภาพของการพูดอ่านเขียน ความซื่อสัตย์ รวมถึงความตระหนักในเรื่องพฤติกรรมที่เราปฏิบัติต่อกันและกันในสังคมอินเทอร์เน็ต ในบทความนี้ผู้เขียนขอทบทวนเรื่อง จรรยามารยาทบนอินเทอร์เน็ตหรือที่เรียกกันในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตว่า “Netiquette” เพื่อให้เป็นของฝากสำหรับสมาชิกใหม่ที่เรียกกันว่า “Net Newbies” และให้เป็นของแถมเพื่อการทบทวนสำหรับนักท่องเน็ตที่เป็น
“ขาประจำ”
Netiquette คืออะไร
Netiquette เป็นคำที่มาจาก “network etiquette” หมายถึง จรรยามารยาทของการอยู่ร่วมกันในสังคมอินเทอร์เน็ต หรือ cyberspace ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้ามาแลกเปลี่ยน สื่อสาร และทำกิจกรรมรวมกัน ชุมชนใหญ่บ้างเล็กบ้างบนอินเทอร์เน็ตนั้น ก็ไม่ต่างจากสังคมบนโลกแห่งความเป็นจริง ที่จำเป็นต้องมีกฎกติกา (codes of conduct) เพื่อใช้เป็นกลไกสำหรับการกำกับดูแลพฤติกรรมและการปฏิสัมพันธ์ของสมาชิก
บัญญัติ 10 ประการสำหรับผู้เริ่มต้น
ถ้าศึกษาค้นคว้าในเรื่อง Netiquette บนเว็บ จะพบการอ้างอิงและกล่าวถึง The Core Rules of Netiquette จากหนังสือเรื่อง “Netiquette” เขียนโดย Virginia Shea ซึ่งเธอได้บัญญัติกฎกติกาที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตพึงตระหนักและยึดเป็นแนวปฏิบัติ 10 ข้อ
ดังนี้
Remember the Human
กฏข้อที่ 1 เป็นข้อเตือนใจสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในขณะที่เรานั่งพิมพ์ข้อความเพื่อติดต่อสื่อสารผ่านจอคอมพิวเตอร์นั้น ต้องไม่ลืมว่าปลายทางอีกด้านหนึ่งของการสื่อสารนั้นที่จริงแล้วก็คือ “มนุษย์”
Adhere to the same standards of behavior online that you follow in real life
กฎข้อที่ 2 เป็นหลักคิดง่าย ๆ ที่อาจจะยึดเป็นแนวปฏิบัติ หากไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร ก็ให้ยึดกติกามารยาทที่เราถือปฏิบัติในสังคมมาเป็นบรรทัดฐานของการอยู่ร่วมกันแบบออนไลน์
Know where you are in cyberspace
กฎข้อที่ 3 เป็นข้อแนะนำให้เราใช้งานอย่างมีสติ รู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ ณ ที่ใด เมื่อเข้าในพื้นที่ใหม่ ควรศึกษาและทำความรู้จักกับชุมชนนั้น ก่อนที่จะเข้าร่วมสนทนาหรือทำกิจกรรมใด ๆ
Respect other people's time and bandwidth
กฎข้อที่ 4 ให้รู้จักเคารพผู้อื่นด้วยการตระหนักในเรื่องเวลา ซึ่งจะสัมพันธ์กับขนาดช่องสัญญาณของการเข้าถึงเครือข่าย นั่นคือ ให้คำนึงถึงสาระเนื้อหาที่จะส่งออกไป ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มสนทนาหรือการส่งอีเมล เราควรจะ “คิดสักนิดก่อน submit” ใช้เวลาตรึกตรองสักหน่อยว่า ข้อความเหล่านั้นเหมาะสมหรือมีสาระประโยชน์กับใครมากน้อยเพียงใด
Make yourself look good online
กฎข้อที่ 5 เป็นข้อแนะนำผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการเขียนและการใช้ภาษา เนื่องจากปัจจุบันวิธีการสื่อสารบนเน็ตใช้การเขียนและข้อความเป็นหลัก การตัดสินว่าคนที่เราติดต่อสื่อสารด้วยเป็นคนแบบใด จะอาศัยสาระเนื้อหารวมทั้งคำที่ใช้ ดังนั้น ถ้าจะให้ “ดูดี” ก็ควรใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมและตรวจสอบคำสะกดให้ถูกต้อง
Share expert knowledge
กฎข้อที่ 6 เป็นข้อแนะนำให้เรารู้จักใช้จุดแข็งหรือข้อได้เปรียบของอินเทอร์เน็ต นั่นคือ การใช้เครือข่ายเพื่อเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยน ”ความรู้” รวมทั้งประสบการณ์กับผู้คนจำนวนมาก ๆ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
Help keep flame wars under control
กฎข้อที่ 7 เป็นข้อคิดที่ต้องการให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้ร่วมมือกันเพื่อช่วยควบคุมและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งความคิดเห็นด้วยการใช้คำที่หยาบคาย เติมอารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรงจนเป็นชนวนให้เกิดกรณีทะเลาะวิวาทกันในกลุ่มสมาชิก ซึ่งรู้จักกันในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตว่า “flame”
Respect other people's privacy
กฎข้อที่ 8 เป็นคำเตือนให้เรารู้จักเคารพในความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น เช่นไม่อ่านอีเมลของผู้อื่น เป็นต้น
Don't abuse your power
กฎข้อที่ 9 เป็นคำเตือนสำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษ เช่น ผู้ดูแลระบบบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งมักจะได้รับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่น บุคคลเหล่านี้ก็ไม่ควรใช้อำนาจหรือสิทธิ์ที่ได้รับไปในทางที่ไม่ถูกต้องและเป็นการเอาเปรียบผู้อื่น
Be forgiving of other people's mistakes
กฎข้อที่ 10 เป็นคำแนะนำให้เรารู้จักให้อภัยผู้อื่น โดยเฉพาะพวก newbies ในกรณีที่พบว่าเขาทำผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม และหากมีโอกาสแนะนำคนเหล่านั้น ก็ควรจะชี้ข้อผิดพลาดและให้คำแนะนำอย่างสุภาพ โดยอาจส่งข้อความแจ้งถึงผู้นั้นโดยตรงผ่านทางอีเมล
อ้างอิง
http://cc.swu.ac.th/ccnews/content/e1624/e1950/e3918/e3949/index_th.html