My Photos.

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เศรษฐกิจพอเพียงกับการจัดการโซ่อุปทาน



เศรษฐกิจพอเพียงกับการจัดการโซ่อุปทาน




เราคงจะได้ยินกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา และท่านผู้ใหญ่หลายท่าน ก็ได้ออกมากล่าวถึงและอธิบายถึงแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ตลอดเวลา


อุปสงค์และอุปทาน

คู่หูสองคำนี้เราได้ยินกันมานานตั้งแต่เรียนหนังสือแล้ว ดู ๆ แล้วอุปสงค์และอุปทานคงไม่ใช่แค่เรื่องราวของเศรษฐศาสตร์เท่านั้น เพราะมนุษย์เราต่างหากที่เป็นคนสร้าง อุปสงค์นี้ให้เกิดขึ้นจากกิเลศแท้ ๆ ของเราเอง และด้วยความต้องการที่จะตอบสนองกิเลสเหล่านี้ มนุษย์เราได้ทุ่มเทพลังกายและสติปัญญา เพื่อที่จะตอบสนองต่อความต้องการของตัวเองเท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงธรรมชาติหรือสิ่งที่เราได้อยู่ร่วมกันมา อุปทาน (Supply) ที่ถูกนำมาแปรรูปหรือแปรสภาพด้วยเครื่องจักร (Machine) ไปเป็น สิ่งที่ต้องการตามอุปสงค์ก็มาจากธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบ (Material) และแรงงานมนุษย์ (Man) และความคิดอ่าน (Methodology) กระแสความต้องการได้เพิ่มมากขึ้นตามกระแสของข้อมูลข่าวสารเหมือนไฟไหม้ที่โดนลมโหมพัดทำให้ทวีความรุนแรงและขยายวงกว้างออกไปกิเลสของแต่ละคนก็เป็นเช่นนั้น ข้อมูลความต้องการของแต่ละคนจะถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์และการผลิตจนผลิตภัณฑ์ถูกนำออกมาสู่ตลาดตอบสนองกิเลสของแต่ละบุคคลไป
โลกของเราพัฒนาและถูกผลักดันด้วยระบบนี้มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ในอดีตเรามีแต่ของจริงที่จับต้องได้ไม่ใช่สิ่งสมมุติ เราขุดหาวัตถุดิบได้จากพื้นดินหาของกินได้จากในป่าหรือแม่น้ำ ท้องทะเลแล้ว เราก็แบ่งปันกันในสังคมที่อยู่ร่วมกัน อาจจะมีการแย่งชิงกันบ้างในบางช่วงเวลา แต่ระบบการอยู่ร่วมกันก็ยังรักษาสมดุลได้มาตลอดทั้งสังคมมนุษย์และธรรมชาติ จนมาถึงเมื่อไม่กี่พันปีที่ผ่านมา กระแสแห่งปัญญาของมนุษย์ก็เริ่มพัฒนามากขึ้นแต่ก็มากด้วยกิเลสในขณะเดียวกันมนุษย์ก็รุกรานเข้าไปในธรรมชาติด้วยเหตุผล เรามนุษย์จะต้องชนะธรรมชาติจนทำให้เรามนุษย์นั้นลืมไปว่า เรามนุษย์นั้นเป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่สุดความสมดุลของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับธรรมชาติก็ค่อยลดลงเรื่อยเมื่อเกิดการไหลของสิ่งสมมุติที่เรียกว่าเงินหรือทุนที่ได้สร้างมายาภาพของความต้องการที่ไม่รู้จักสิ้นสุดจึงทำให้อุปทานไม่สามารถตอบสนองกับอุปสงค์ได้ โดยเฉพาะแหล่งพลังงานพื้นฐานประเภทน้ำมัน ซึ่งกำลังจะหมดลงไปเรื่อย ๆ และวันนั้นโลกเราคงจะปรับตัวครั้งใหญ่เศรษฐกิจพอเพียงนี้




เศรษฐกิจพอเพียงควรอยู่ในจิตสำนึก

เศรษฐกิจพอเพียงในคงไม่ใช่แค่การจัดการทรัพยากรต่าง ๆ ภายในบริเวณบ้านหรือที่ดินทำกินต่าง ๆ เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่สำหรับเพียงแค่เกษตรกร แต่แนวคิดนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกชั้นและทุกคนในโลก ด้วยแนวคิดนี้ช่างเรียบง่ายเหลือเกินแต่ทำหรือปฏิบัติได้ยากยิ่งนัก พระองค์ท่านให้แนวคิด (Thinking) ในเรื่องศรษฐกิจพอเพียงไว้สำหรับทุกคนไม่ใช่แค่อาชีพใดอาชีพหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ให้ตัวอย่างการนำไปใช้ไว้ด้วย เศรษฐกิจพอเพียงนี้ เป็นแนวคิดการบริหารจัดการยุคใหม่ (Modern Management Thinking) ขอใช้คำว่า Thinking หรือแนวคิด เพราะว่า Thinking นี้จะต้องมีความครอบจักรวาล (Universal) ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกปัญหาและทุกสถานการณ์ การที่จะได้มาซึ่งแนวคิดแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ จะต้องสั่งสมประสบการณ์ต่าง ๆ เพื่อที่จะสรุปหรือตกผลึกออกมาเป็นแนวคิดให้ได้
ถึงแม้ว่าเราจะได้รับแนวคิดนี้ไป แต่การนำเอาแนวคิดไปประยุกต์ใช้ก็จะเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง แนวคิดหรือ Thinking นั้นส่วนมากจะเป็นคำกล่าวที่สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ยากที่เข้าใจและจะเอาไปประยุกต์ใช้กับปัญหาที่ซับซ้อน การนำเอาแนวคิดที่เรียบง่ายไปใช้กับปัญหาใหญ่ที่ซับซ้อนได้นั้นคงจะต้องมีขั้นตอนหรือการลงทุนกันบ้าง คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ลงทุน หรือปรับเปลี่ยนอะไรเลย การลงทุนอย่างแรกเลย คือ การเข้าใจตัวเอง การเข้าใจความสามารถตัวเอง การเข้าใจลูกค้า จากนั้นก็ต้องมีความเข้าใจในแนวคิดที่จะนำมาใช้ แต่ทั้งสองส่วนก็ยังใช้ร่วมกันไม่ได้ เพราะคนทั้งองค์กรมีความหลากหลายกันมากและตัวแนวคิดเองก็ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดของการดำเนินการเลยดังนั้นผู้นำเอาแนวคิดไปใช้จะต้องตีความหมายให้ออก และออกแบบการดำเนินการให้เหมาะสมกับตัวเองหรือองค์กร
ดังนั้นแนวคิดอย่างเดียวจะไม่มีทางขับดันองค์การให้เคลื่อนตัวไปและอยู่อย่างยั่งยืนได้ และที่สำคัญทุกคนในองค์กรตั้งแต่ระดับบนลงล่างมีระดับความเข้าในในแนวคิดนี้ไม่เท่ากัน แนวคิดหรือ Thinking นั้น เหมือนเป็นแบบจำลองอ้างอิง (Reference Model) ที่แต่ละธุรกิจหรือปัญหา จะต้องนำมาประยุกต์ใช้หรือให้รายละเอียดที่มีความเกี่ยวโยงกับธุรกิจหรือปัญหาที่เราสนใน สิ่งที่เชื่อมโยงระหว่าง Thinking กับการปฏิบัติการ (Operations) คือ การสร้างหลักการ(Principles) และแบบจำลองการดำเนินงาน (Execution Model) หลักการ (Principles) เป็นผลลัพธ์จากการสร้างความเชื่อมต่อระหว่างแนวคิดและการปฏิบัติการที่เป็นเรื่องเฉพาะแต่ละบุคคลหรือแต่ละองค์กร หลายองค์กรอาจจะมีแนวคิดเดียวกัน แต่การปฏิบัติการนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะบริบทหรือภาวะแวดล้อมของแต่ละธุรกิจนั้นไม่เหมือนกัน

ดังนั้นเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเป็นเหมือนแนวคิดหนึ่งในการดำรงชีวิตเชิงเศรษฐศาสตร์ที่ต้องฝังรากลงไปในจิตสำนึก ไม่ใช่พื้นดินเหมือนกับเราเข้าใจกัน ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพใดก็ตามเศรษฐกิจพอเพียงก็สามารถใช้ได้ เพียงแต่คุณจะเข้าใจและเห็นประโยชน์มากน้อยแต่ต่างกันออกไป จากนั้นคุณก็สามารถที่สร้างหลักการ (Principles) ของชีวิตคุณหรือธุรกิจของคุณตามแนวคิดนั้น ๆ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติในระดับการดำเนินงานของคนทั่วไปในองค์กร ประเด็นสำคัญที่เป็นปัญหามาก ๆ คือ ทุกคนเข้าใจไม่เท่ากัน โดยเฉพาะแนวคิดที่เป็นคำกล่าวที่เรียบง่าย เช่นนั้นแล้ว บุคคลธรรมดาทั่วไปย่อมเข้าใจได้ระดับหนึ่ง แต่การนำไปปฏิบัติให้เกิดผลคงจะต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง



อ้างอิง

http://www.kmitl.com/article.php?articlecat=3&articleid=36

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น