My Photos.

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ชอบดื่มกาแฟฟังทางนี้จ้า




มอคค่า (อังกฤษ: Cafe Mocha) เป็นเครื่องดื่มกาแฟที่คล้ายกับกาแฟลาเต้คือมีเอสเพรสโซ่ 1/3 ส่วนและนมร้อน 2/3 ส่วน แต่แตกต่างกันที่มอคค่าจะมีส่วนผสมของช็อคโกแลตด้วย โดยมักจะใส่ในรูปของน้ำเชื่อมช็อคโกแลต เสิร์ฟได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็นใส่น้ำแข็ง มักมีวิปครีมปิดหน้า
มอคค่า อาจหมายถึงกาแฟอราบิก้าชนิดหนึ่ง ซึ่งปลูกอยู่บริเวณท่าเรือมอคค่าในประเทศเยเมน กาแฟมอคค่ามีสีและกลิ่นคล้ายชอคโกแลต (แม้ว่าจะไม่มีส่วนประกอบของชอคโกแลตในมอคค่าเลยก็ตาม) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้กาแฟมอคค่าเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย


ลาเต้ (อิตาลี: Latte) เป็นภาษาอิตาลีแปลว่านม ส่วนในประเทศอื่น จะหมายถึง กาแฟลาเต้ หรือเครื่องดื่มกาแฟที่เตรียมด้วยนมร้อน โดยการเทเอสเปรสโซ 1/3 ส่วน และนมร้อนอีก 2/3 ส่วน ลงในถ้วยพร้อมๆ กัน และจะหยอดโฟมนมหนาประมาณ 1 ซม. ทับข้างบน ในประเทศอิตาลี กาแฟลาเต้นี้รู้จักกันในชื่อของ "caffè e latte" ซึ่งหมายถึง กาแฟกับนม ซึ่งใกล้เคียงกับในภาษาฝรั่งเศส คำว่า "café au lait" กาแฟลาเต้เริ่มเป็นที่นิยมนอกประเทศอิตาลีในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980

คาปูชิโน (อิตาลี: cappuccino) เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มประเภทกาแฟซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี คาปูชิโนมีส่วนประกอบหลักคือ เอสเปรสโซ และ นม คำว่า Cappuccino เป็นภาษาอิตาเลียน ออกเสียงให้ถูกต้องว่า กัปปุชชิโน่
การชงคาปูชิโนโดยส่วนใหญ่มักมีอัตราส่วนของเอสเปรสโซ 1/3 ส่วน ผสมกับนมสตีม (นมร้อนผ่านไอน้ำ) 1/3 ส่วน และนมตีเป็นโฟมละเอียด 1/3 ส่วนลอยอยู่ด้านบน นอกจากนั้นอาจโรยหน้าด้วยผงซินนามอน หรือ ผงโกโก้เล็กน้อยตามความชอบ ส่วนผสมของคาปูชิโนต่างจากของลาเต้ มาเกียโต้ (latte macchiato) ซึ่งประกอบไปด้วยนมเป็นส่วนใหญ่และนมตีโฟมเพียงเล็กน้อย
ในประเทศอิตาลี ผู้คนมักดื่มคาปูชิโนเป็นอาหารเช้าโดยเฉพาะ โดยอาจมีขนมปังแผ่นหรือคุกกี้ประกอบ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าวิถีชีวิตของชาวอิตาลีมักไม่ค่อยรับประทานอาหารเช้าแบบเป็นกิจลักษณะ คาปูชิโนและขนมปังเบาๆ จึงเหมาะเป็นอาหารรองท้องสำหรับยามเช้า และด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่ดื่มคาปูชิโนในช่วงอื่นของวัน แต่สำหรับต่างประเทศรวมถึงประเทศไทย การดื่มคาปูชิโน ดื่มได้ทุกเวลาโดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก


เอสเปรสโซ (อิตาลี: espresso) คือกาแฟที่มีรสแก่และเข้ม ซึ่งมีวิธีการชงโดยใช้แรงอัดไอน้ำหรือน้ำร้อนผ่านเมล็ดกาแฟคั่วที่บดละเอียด ที่มาของชื่อ เอสเปรสโซ มาจากคำภาษาอิตาลี "espresso" แปลว่า เร่งด่วน เอสเปรสโซเป็นกาแฟที่นิยมมากที่สุดในแถบประเทศยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะประเทศอิตาลี การสั่งกาแฟ "caffe" ในร้านโดยทั่วไปก็คือสั่งเอสเปรสโซ เอสเปรสโซถูกผลิตที่อิตาลีเอสเปรสโซมีต้นกำเนิดที่อิตาลีตอนที่อิตาลีล่าเอธิโอเปียมาเป็นอาณานิคมกาแฟก็นำมาปลูกที่อิตาลีส่วนใหญ่ ด้วยวิธีการชงแบบใช้แรงอัด ทำให้เอสเปรสโซมีรสชาติกาแฟซึ่งเข้มข้นและหนักแน่น ต่างจากกาแฟทั่ว ๆ ไปซึ่งชงแบบผ่านน้ำหยด และเพราะรสชาติเข้มข้นและหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้เอง ทำให้คอกาแฟดื่มเอสเปรสโซโดยไม่ปรุงด้วยน้ำตาลหรือนม และมักจะเสิร์ฟเป็นชอต (แก้วแบบจอก) เพื่อให้ปริมาณไม่มากจนเกินไป (ประมาณ 1-2 ออนซ์ หรือ 30-60มิลลิลิตร แตกต่างตาม พฤติกรรมการดื่ม ของแต่ละประเทศ) การสั่งเอสเปรสโซตามร้านกาแฟทั่วไป มักสั่งตามปริมาณเป็น "ซิงเกิ้ล" หรือ "ดับเบิ้ล" (ชอตเดียว หรือ สองชอต) เอสเปรสโซมีความไวสูงในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เพื่อไม่ให้เสียรสชาติจึงควรดื่มตอนชงเสร็จใหม่ ๆ

นาฬิกาที่หมุนเวียน ใจคนเราที่แปรเปลี่ยน
เรื่องดีๆที่ยังเก็บไว้ แสงอาทิตย์ที่สวยงาม
ผ่านราตรีที่ยาวนาน ถึงเวลาจะพบกันใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ฝากไว้ให้คิด....


.................................................................

คนเราไม่ควรเอาแต่ใจมาก และไม่ควรตามใจใครมากเช่นกัน

.................................................................

ผ่านมานานเหลือเกิน ตั้งแต่เดินแยกทาง
ลืมฉันหรือยัง แค่อยากรู้
ฉันเหมือนเดิมทุกอย่าง
ฉันยังจำเธออยู่เสมอ

วันและคืนหมุนเวียน เปลี่ยนใจคนง่ายดาย
แต่ฉันก็ยังไม่ลืมเธอ
แม้เรื่องเราจะจบ แม้ว่าคงไม่เจออีกแล้ว

แปลกดีที่หัวใจของคน
พยายามจะลบเลือน ยิ่งจำยิ่งร้อนรน
เมื่อรักใคร ฝังใจไร้เหตุผล

ลืมกันลงหรือไร ลืมกันไปหรือยัง
มีภาพเลือนลางอยู่บ้างไหม
เพราะยังรักเธออยู่
ฉันไม่รู้จะลืมอย่างไร



ฉันยังเป็นคนเก่า
แม้ว่าเรื่องของเราจบไป

ลืมฉันหรือยัง .... Cre By Wong - Tyrant

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เมื่อฉันกลับจากทะเล

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ฉันไปทะเลฝั่งอ่าวไทย
ฉันไปนอนอ่านหนังสือบนชายหาด
ฉันไปกินอาหารทะเล
ฉันไปเก็บขยะลิมหาด
ฉันไปขี่มอเตอร์ไซค์รอบเกาะ
ฉันไปพายเรือแคนนู
ฉันไปดำน้ำดูปะการัง
พอกลับมาจากทะเล
ฉันผิวคล้ำขึ้น ฉันเป็นกระ ฉันเป็นผื่นทั้งตัวเพราะแพ้แมลง
และเท้าของฉันเป็นแผลจาการเหยียบโขดหิน
เพื่อนทักฉันว่า "แกตัวดำขึ้นว่ะ"
ฉันยักคิ้ว ยิ้มกว้าง พลางนึกในใจว่า
คำว่า "ได้ประสบการณ์"
แปลว่าเราไม่ได้กลับมาเป็นคนเดิมไงเล่า^^
จาก นักคิดจิปาถะ
หนังสือ a day 118

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แค่มี พลพล


แค่มี

..............................................................................................................................



ความทะเยอทะยาน (Ambition) หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่า “ ความอยาก ” นั่นเอง เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนที่ยังมีลมหายใจ ถึงแม่จะแผ่วไปบ้างในช่วงนี้ ย่อมมีไอ้เจ้า “ ความอยาก ” นี้อย่างแน่นอน แต่ “ ความอยาก ” ของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน บางคนอยากพอประมาณ แต่บางคนอยากมากจนน่ากลัว

การมี “ความอยาก” ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ “ความอยาก” ที่ว่านี้ ถ้ามีพอประมาณ ก็จะเป็นแรงผลักดันให้เราต่อสู้ มีความฝัน ความหวัง และกำลังใจในการที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ทุกวันนี้คนเรามี “ความอยาก” ที่มากไป โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นที่ทำงานแล้ว มีสิ่งมาล่อ “ต่อมอยาก” ก็คือ ความดีความชอบในแต่ละปี ยิ่งใกล้ช่วงพิจารณาเท่าใด “ต่อมอยาก” ก็จะ “ผลิตฮอร์โมน อยากมาก ๆ” ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ (คงเป็นต่อมใต้สมอง) จิตใจก็จะเร่าร้อน ริษยาเมื่อเห็นใครได้ดีกว่า ความอยากที่มากไป ประกอบกับความสามารถที่ไม่เหมาะสมกับความอยากก็ย่อมก็ให้เกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน

วิธีคิดง่าย ๆ เราลองประเมินระดับตัวเองก่อนว่าเราอยู่ตรงไหน แค่ไหน ความสามารถเท่าใด อย่าหลอกและหลงตัวเอง แม้เราไม่เท่ากับใครบางคน แต่เราก็ยังดีกว่าคนอีกมากมาย แม้เราไม่เท่าเขาในวันนี้ไม่เป็นไรวันหน้าเราอาจได้ดีกว่าเขาเท่าทวีคูณ ถ้าเรามีความสม่ำเสมอในการทำดี มนุษย์เราถ้ารู้จักทำอะไรที่พอตัว พัฒนาไปตามครรลองของ “ความอยาก” หรือ “ความทะเยอทะยาน” ที่พอเหมาะพอควร โชคชะตาก็จะสร้างทางชีวิตที่สวยงาม ให้เราได้เดินเรื่อย ๆ มีความสุขเต็ม ๆ กับชีวิต ทำส่วนของเราให้ดีที่สุด จงคิดว่าได้เท่าที่ได้ ชีวิตจะได้ความดี ตอบแทนเมื่อถึงเวลา แล้วเราจะสุขแบบท่วมท้นใจ ดังบทเพลงนี้….

อาจจะมีพร้อม แต่ชีวิตก็ยังวุ่นวาย ยังไม่พอดี ยังไม่พอใจ ถึงได้หนาวกาย และหนาวใจอยู่ดี ......

อาจจะน้อย แต่ไม่ขอให้มีมากมาย มีแค่พอดี มีแค่พอใจ ถึงต้องหนาวกาย แต่หัวใจอุ่นใจอุ่นดี.........
เติมพลังให้...ตนเองเสมอ...เมื่อเจอความล้มเหลว

ทำไมบางคนทำผิดหรือทำพลาด เขาถูกตำหนิหรือถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างย่อยยับ ทั้งที่ความผิดของเขาไม่ใช่เรื่องขอขาดบาดตาย ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ชีวิตเขาถูกกระหน่ำซ้ำเติมทุกอย่าง

เพราะ...ในความผิดพลาด ธรรมชาติของคนจะลงโทษตนเองแล้ว นั่นคือ ความเสียใจ...และต้องหันกลับไปคิดว่า...ทำไมเราผิดพลาดขนาดนี้...ย้ำคิด ย้ำทำ เวียนมา และเสียใจอยู่อย่างนั้น

ถ้าเราเปิดคำวิจารณ์แย่ๆ จากข้างนอก จากไหน จากใครก็ตาม ทำให้เราจมอยู่กับอดีต ความหลังทำให้ความรู้สึก ลงโทษตัวเอง อย่างไม่สิ้นสุด จึงเป็นเรื่องยากที่จะพูความรู้สึกภาคภูมิใจให้พึงกับมา เพื่อเป็นพลังในใจอีกครั้ง ส่วนใหญ่คนเราจะเสียเวลาอยู่กับความผิดพลาด ล้มหนึ่งครั้ง หมดพลัง ยากที่จะลุกขึ้นยื่น


แต่ก็มีคนอีกประเภท...เขาจะผิดอะไร กลับไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์ หรือซ้ำเติม...คงเป็นเพราะว่าคนกลุ่มนี้จะเคารพและเติมพลังใจในการกระทำของตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว เมื่อประสบความสำเร็จ ความสำเร็จคือรางวัล เมื่อล้มเหลว ความล้มเหลวคือของขวัญ เมื่อเราเติมพลังใจให้เกียรติตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างก็จะนับถือให้เกียรติเรา


ฉันเคยได้ยินว่า “ คนที่ทำผิดซ้ำสองคือคนโง่ ” คนเรารู้สึกแย่อยู่แล้วเมื่อผิดซ้ำสอง แต่...ฉันเป็นคนหนึ่งที่เคยทำผิดซ้ำที่เดิม ย้ำรอยเดิม ถึง สองสามครั้ง ต่างกันแค่เวลาเท่านั้น ฟังดูแล้วไม่น่าให้อภัย...คนอะไรแย่ชะมัด สิ่งหนึ่งที่ฉันยอมรับและเซ็งตัวเองสุดขีดคือ ฉันพลาดและพลั้ง(อีกแล้ว) แต่ฉันก็เติมพลังใจให้เกียรติกับความผิดพลาดอยู่เสมอ อย่างไร ก็ตามฉันจะไม่เว้นช่องว่างให้ใครซ้ำเติมเด็ดขาด คือ ผิดนะ ใช่ แล้วยังไงก็มันผิดแล้วนี่ แต่ฉัน...ไม่ได้โง่นะ...จะบอกให้...เพราะคนโง่มันเป็นบทสรุปของคนที่ไม่สามารถทำอะไรให้ประสบความสำเร็จได้เลยตลอดชีวิต


บางครั้งการทำพลาดซ้ำๆ อาจทำให้เสียเวลา แต่อย่าลืมว่าการผิดพลาดทุกครั้งจะเกิดสิ่งที่ดีตามมาเสมอ เพราะสิ่งที่ดีที่สุด อาจเกิดความผิดพลาดที่จุดเดิม...เหมือนผู้หญิงบางคน เปลี่ยนคนรักด้วยเหตุอะไรไม่ทราบ...จนได้เจอคนที่ดีกว่า บางคนเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ จนได้งานที่ดีที่สุด มักอาจได้หัวหน้าที่ดีที่สุด (จะมีซักกี่เปอร์เซ็นต์นะ อย่าเสือปะจระเข้ก็แล้วกัน) ทุกการกระทำไม่มีบทสรุปแน่นอนว่าจะเกิดสิ่งที่ดีที่สุด เพราะการกระทำทุกการกระทำจะมีผลลัพธ์ในตัวเองเสมอ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว จงเติมพลังใจ ให้เกียรติกับชีวิต และผลลัพธ์การกระทำของตัวเองทุกครั้ง แล้วสังคมคนรอบข้างก็จะให้เกียรติในการกระทำของเรา...เพียงแต่เรา...อย่ามองตัวเอง...เป็นคนที่ผิดพลาดจบอยู่กับห้วงความล้มเหลว ปืนบันไดความสำเร็จไม่ได้สักที...จงเติมเชื่อไฟ ให้มีพลัง พร้อมที่จะลุกขึ้นมายืนใหม่...อีกครั้ง...อย่างทระนง




สู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่


...โลกนี้มีผู้ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่จำนวนมาก บางคนก็เป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ บางคนก็เป็นนักแต่งเพลง จิตรกร นักวิทยาศาสตร์ นักกีฬา นักธุรกิจ หรือนักปกครองประเทศที่ยิ่งใหญ่ เรามาดูกันว่า การก้าวไปเป็นผู้ประสบความสำเร็จมีกฎอะไรบ้าง


คนที่มีความต้องการที่จะประสบความสำเร็จ เขามีนิสัยอย่างนี้

1. จะใช้เวลาคิดเพื่อหาทางปรับปรุงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น

2. ชอบแก้ปัญหามากกว่าจะปล่อยให้โชคชะตาเป็นผู้เปลี่ยนสิ่งต่างๆ

3. มักตั้งเป้าหมายชนิดที่ทำให้สำเร็จค่อนข้างยาก แต่ก็เป็นไปได้

คนประเภทนี้จัดตั้งมาตรฐานการทำงานของตนได้อย่างเลอเลิศ และพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้ตามนั้น พวกเขาชอบการท้าทายโอกาส และตั้งใจมั่นที่จะเอาชนะอุปสรรคทั้งหลายให้ได้ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือความปลาบปลื้ม อันเกิดจากความสำเร็จจากบุคคล ไม่ใช่เพื่อเงินหรือรางวัล และที่ต้องการประสบความสำเร็จ...เขาจะต้องมีคุณสมบัติอย่างนี้ด้วย

4. มีมนุษย์สัมพันธ์

5. ใช้ความคิดสร้างสรรค์

มีเรื่องหนึ่งเรามักตกหลุมตัวเองตาย คือเรามักติดกับความคิดของเราเอง เช่น คิดกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าก่อนว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งชี้ขาด คิดตามความเคยชิน ยึดติดกับวิธีขบคิดบางอย่าง เป็นต้น วิธีแก้ก็คือคุณต้องทำลายกรอบความคิดที่ไม่เข้าถ้านี้ลง รองทำเรื่องบางอย่างแหวกกฎเกณฑ์เดิมหัดคิดเรื่อยเปื่อย สะระตะในยามว่างบ้าง โดยไม่ต้องสนใจว่ามันจะเป็นไปได้หรือเปล่า

6. รู้จักฟัง

การรับฟังทัศนะของผู้อื่นๆ มีประโยชน์มาก แต่คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะพูดมากกว่าฟัง โดยเฉพาะในการประชุม การสัมมนา อภิปราย เป็นต้น ผู้ร่วมประชุมมักจะพูดคุยสัพเพเหระกันเองมากกว่าจะสนใจฟังวิทยากร บางครั้งจึงทำให้พลาดข่าวสารที่สำคัญ ในขณะเดียวกัน คำพูด หรือทัศนะที่ออกมาในลักษณะการนินทา การว่าร้าย ซึ่งมักก่อให้เกิดการเข้าใจผิด หรือผิดใจกันมาก กับมีแต่คนสนใจฟังคุณต้องเลือกเองว่าจะรับฟังอะไรบ้าง ถึงจะมีประโยชน์กับตัวคุณ

....................................................................................................................................



แหล่งที่มา : บทความสุขภาพจิต โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์
http://www.jvkk.go.th/jvkkfirst/story/health/53.htm

เศรษฐกิจพอเพียงกับการจัดการโซ่อุปทาน



เศรษฐกิจพอเพียงกับการจัดการโซ่อุปทาน




เราคงจะได้ยินกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา และท่านผู้ใหญ่หลายท่าน ก็ได้ออกมากล่าวถึงและอธิบายถึงแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ตลอดเวลา


อุปสงค์และอุปทาน

คู่หูสองคำนี้เราได้ยินกันมานานตั้งแต่เรียนหนังสือแล้ว ดู ๆ แล้วอุปสงค์และอุปทานคงไม่ใช่แค่เรื่องราวของเศรษฐศาสตร์เท่านั้น เพราะมนุษย์เราต่างหากที่เป็นคนสร้าง อุปสงค์นี้ให้เกิดขึ้นจากกิเลศแท้ ๆ ของเราเอง และด้วยความต้องการที่จะตอบสนองกิเลสเหล่านี้ มนุษย์เราได้ทุ่มเทพลังกายและสติปัญญา เพื่อที่จะตอบสนองต่อความต้องการของตัวเองเท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงธรรมชาติหรือสิ่งที่เราได้อยู่ร่วมกันมา อุปทาน (Supply) ที่ถูกนำมาแปรรูปหรือแปรสภาพด้วยเครื่องจักร (Machine) ไปเป็น สิ่งที่ต้องการตามอุปสงค์ก็มาจากธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบ (Material) และแรงงานมนุษย์ (Man) และความคิดอ่าน (Methodology) กระแสความต้องการได้เพิ่มมากขึ้นตามกระแสของข้อมูลข่าวสารเหมือนไฟไหม้ที่โดนลมโหมพัดทำให้ทวีความรุนแรงและขยายวงกว้างออกไปกิเลสของแต่ละคนก็เป็นเช่นนั้น ข้อมูลความต้องการของแต่ละคนจะถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์และการผลิตจนผลิตภัณฑ์ถูกนำออกมาสู่ตลาดตอบสนองกิเลสของแต่ละบุคคลไป
โลกของเราพัฒนาและถูกผลักดันด้วยระบบนี้มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ในอดีตเรามีแต่ของจริงที่จับต้องได้ไม่ใช่สิ่งสมมุติ เราขุดหาวัตถุดิบได้จากพื้นดินหาของกินได้จากในป่าหรือแม่น้ำ ท้องทะเลแล้ว เราก็แบ่งปันกันในสังคมที่อยู่ร่วมกัน อาจจะมีการแย่งชิงกันบ้างในบางช่วงเวลา แต่ระบบการอยู่ร่วมกันก็ยังรักษาสมดุลได้มาตลอดทั้งสังคมมนุษย์และธรรมชาติ จนมาถึงเมื่อไม่กี่พันปีที่ผ่านมา กระแสแห่งปัญญาของมนุษย์ก็เริ่มพัฒนามากขึ้นแต่ก็มากด้วยกิเลสในขณะเดียวกันมนุษย์ก็รุกรานเข้าไปในธรรมชาติด้วยเหตุผล เรามนุษย์จะต้องชนะธรรมชาติจนทำให้เรามนุษย์นั้นลืมไปว่า เรามนุษย์นั้นเป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่สุดความสมดุลของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับธรรมชาติก็ค่อยลดลงเรื่อยเมื่อเกิดการไหลของสิ่งสมมุติที่เรียกว่าเงินหรือทุนที่ได้สร้างมายาภาพของความต้องการที่ไม่รู้จักสิ้นสุดจึงทำให้อุปทานไม่สามารถตอบสนองกับอุปสงค์ได้ โดยเฉพาะแหล่งพลังงานพื้นฐานประเภทน้ำมัน ซึ่งกำลังจะหมดลงไปเรื่อย ๆ และวันนั้นโลกเราคงจะปรับตัวครั้งใหญ่เศรษฐกิจพอเพียงนี้




เศรษฐกิจพอเพียงควรอยู่ในจิตสำนึก

เศรษฐกิจพอเพียงในคงไม่ใช่แค่การจัดการทรัพยากรต่าง ๆ ภายในบริเวณบ้านหรือที่ดินทำกินต่าง ๆ เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่สำหรับเพียงแค่เกษตรกร แต่แนวคิดนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกชั้นและทุกคนในโลก ด้วยแนวคิดนี้ช่างเรียบง่ายเหลือเกินแต่ทำหรือปฏิบัติได้ยากยิ่งนัก พระองค์ท่านให้แนวคิด (Thinking) ในเรื่องศรษฐกิจพอเพียงไว้สำหรับทุกคนไม่ใช่แค่อาชีพใดอาชีพหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ให้ตัวอย่างการนำไปใช้ไว้ด้วย เศรษฐกิจพอเพียงนี้ เป็นแนวคิดการบริหารจัดการยุคใหม่ (Modern Management Thinking) ขอใช้คำว่า Thinking หรือแนวคิด เพราะว่า Thinking นี้จะต้องมีความครอบจักรวาล (Universal) ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกปัญหาและทุกสถานการณ์ การที่จะได้มาซึ่งแนวคิดแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ จะต้องสั่งสมประสบการณ์ต่าง ๆ เพื่อที่จะสรุปหรือตกผลึกออกมาเป็นแนวคิดให้ได้
ถึงแม้ว่าเราจะได้รับแนวคิดนี้ไป แต่การนำเอาแนวคิดไปประยุกต์ใช้ก็จะเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง แนวคิดหรือ Thinking นั้นส่วนมากจะเป็นคำกล่าวที่สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ยากที่เข้าใจและจะเอาไปประยุกต์ใช้กับปัญหาที่ซับซ้อน การนำเอาแนวคิดที่เรียบง่ายไปใช้กับปัญหาใหญ่ที่ซับซ้อนได้นั้นคงจะต้องมีขั้นตอนหรือการลงทุนกันบ้าง คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ลงทุน หรือปรับเปลี่ยนอะไรเลย การลงทุนอย่างแรกเลย คือ การเข้าใจตัวเอง การเข้าใจความสามารถตัวเอง การเข้าใจลูกค้า จากนั้นก็ต้องมีความเข้าใจในแนวคิดที่จะนำมาใช้ แต่ทั้งสองส่วนก็ยังใช้ร่วมกันไม่ได้ เพราะคนทั้งองค์กรมีความหลากหลายกันมากและตัวแนวคิดเองก็ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดของการดำเนินการเลยดังนั้นผู้นำเอาแนวคิดไปใช้จะต้องตีความหมายให้ออก และออกแบบการดำเนินการให้เหมาะสมกับตัวเองหรือองค์กร
ดังนั้นแนวคิดอย่างเดียวจะไม่มีทางขับดันองค์การให้เคลื่อนตัวไปและอยู่อย่างยั่งยืนได้ และที่สำคัญทุกคนในองค์กรตั้งแต่ระดับบนลงล่างมีระดับความเข้าในในแนวคิดนี้ไม่เท่ากัน แนวคิดหรือ Thinking นั้น เหมือนเป็นแบบจำลองอ้างอิง (Reference Model) ที่แต่ละธุรกิจหรือปัญหา จะต้องนำมาประยุกต์ใช้หรือให้รายละเอียดที่มีความเกี่ยวโยงกับธุรกิจหรือปัญหาที่เราสนใน สิ่งที่เชื่อมโยงระหว่าง Thinking กับการปฏิบัติการ (Operations) คือ การสร้างหลักการ(Principles) และแบบจำลองการดำเนินงาน (Execution Model) หลักการ (Principles) เป็นผลลัพธ์จากการสร้างความเชื่อมต่อระหว่างแนวคิดและการปฏิบัติการที่เป็นเรื่องเฉพาะแต่ละบุคคลหรือแต่ละองค์กร หลายองค์กรอาจจะมีแนวคิดเดียวกัน แต่การปฏิบัติการนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะบริบทหรือภาวะแวดล้อมของแต่ละธุรกิจนั้นไม่เหมือนกัน

ดังนั้นเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเป็นเหมือนแนวคิดหนึ่งในการดำรงชีวิตเชิงเศรษฐศาสตร์ที่ต้องฝังรากลงไปในจิตสำนึก ไม่ใช่พื้นดินเหมือนกับเราเข้าใจกัน ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพใดก็ตามเศรษฐกิจพอเพียงก็สามารถใช้ได้ เพียงแต่คุณจะเข้าใจและเห็นประโยชน์มากน้อยแต่ต่างกันออกไป จากนั้นคุณก็สามารถที่สร้างหลักการ (Principles) ของชีวิตคุณหรือธุรกิจของคุณตามแนวคิดนั้น ๆ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติในระดับการดำเนินงานของคนทั่วไปในองค์กร ประเด็นสำคัญที่เป็นปัญหามาก ๆ คือ ทุกคนเข้าใจไม่เท่ากัน โดยเฉพาะแนวคิดที่เป็นคำกล่าวที่เรียบง่าย เช่นนั้นแล้ว บุคคลธรรมดาทั่วไปย่อมเข้าใจได้ระดับหนึ่ง แต่การนำไปปฏิบัติให้เกิดผลคงจะต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง



อ้างอิง

http://www.kmitl.com/article.php?articlecat=3&articleid=36

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความรักของแม่บางเบาเสมือนปุยนุ่น แต่หนักแน่นเท่าขุนเขา

อิ่มอุ่น ศุ บุญเลี้ยง

วันแม่แห่งชาติ


วันแม่แห่งชาติ
ทุกวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี
วันแม่แห่งชาติ หรือที่คนไทยทั่วไปนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า "วันแม่" ทุกคนรับทราบและซาบซึ้งกันดี เนื่องจากวันสำคัญนี้ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถคือ วันที่ 12 สิงหาคม อันเป็นวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพและถือว่าเป็นวันแม่ของชาติด้วย
แต่เดิมนั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาไว้วันที่ 15 เมษายนของทุก ๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรอง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2493 ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงาน วันแม่ มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2493 เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างขวางออกไป มีการจัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา การประกวดคำขวัญวันแม่ การประกวดแม่ของชาติ เพื่อให้เกียรติและตระหนักในความสำคัญของแม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของวันแม่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาลฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าวันแม่ของชาติ
ต่อมาถึง พ.ศ.2519 ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
วันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่ทางราชการกำหนดในวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี และถือว่าเป็นวันสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย โดยกำหนดให้ถือว่า "ดอกมะลิ" สีขาวบริสุทธิ์เป็นสัญลักษณ์ของความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดแก่เรา


แม่คือพระผู้สร้างให้กำเนิด
ผู้ประเสริฐก่อเกิดลูกปลูกความฝัน
ถักทอรักฟูมฟักเนิ่นนานวัน
จนลูกนั้นเติบใหญ่จนได้ดี
เป็นดั่งเทียนยอมเผาตนจนมอดไหม้
ยังแสงให้ลูกเห็นทางไม่ห่างหนี
แสงอาทิตย์ส่องทางเดินเนิ่นนานปี
มารดานี้ส่องสว่างทางชีวัน
"แม่"จึงเป็นผู้สร้างทางชีวิต
คอยลิขิตแต่งแต้มหลากสีสัน
จากผ้าขาวผืนขาดเมื่อวานวัน
กลับเปรผันเป็นผ้างามยามเติบโต


...วันแม่ในประเทศต่าง ๆ ...
• อาทิตย์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์ นอร์เวย์
• 8 มีนาคม บัลแกเรีย, แอลเบเนีย
• อาทิตย์ที่สี่ในฤดูถือบวชเล็นท์ (มาเทอริง ซันเ ดย์) สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์
• 21 มีนาคม (วันแรกของฤดูใบไม้ผลิ) จอร์แดน, ซีเรีย, เลบานอน, อียิปต์
• อาทิตย์แรกของเดือนพฤษภาคม โปรตุเกส, ลิทัวเนีย, สเปน, แอฟริกาใต้, ฮังการี
• 8 พฤษภาคม เกาหลีใต้ (วันผู้ปกครอง)
• 10 พฤษภาคม กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย, ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้, บาห์เรน, ปากีสถาน, มาเลเซีย, เม็กซิโก, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อินเดีย, โอมาน
• อาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม แคนาดา, สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน), สาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, เดนมาร์ก, ตุรกี, นิวซีแลนด์, เนเธอร์แลนด์, บราซิล, เบลเยียม, เปรู, ฟินแลนด์, มอลตา, เยอรมนี, ลัตเวีย, สโลวาเกีย, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, อิตาลี, เอสโตเนีย, ฮ่องกง
• 26 พฤษภาคม โปแลนด์
• 27 พฤษภาคม โบลิเวีย
อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม สาธารณรัฐโดมินิกัน, สวีเดน
อาทิตย์แรกของเดือนมิถุนายนหรือ อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ฝรั่งเศส
• 12 สิงหาคม ไทย (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ)
• 15 สิงหาคม (วันอัสสัมชัญ) คอสตาริกา, แอนท์เวิร์ป (เบลเยียม)
อาทิตย์ที่สองหรือสามของเดือนตุลาคม อาร์เจนตินา (Día de la Madre)
• 28 พฤศจิกายน รัสเซีย
• 8 ธันวาคม ปานามา
• 22 ธันวาคม อินโดนีเซีย